วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ช่างสิบหมู่กับงานช่างศิลป์ไทย

เรื่องโดย อ.วนิดา พึ่งสุนทร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
เรียบเรียงโดย "สุวรรณภูมิ"

“งานช่างศิลป์ไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของชาติ เพราะศิลปะเป็นเครื่องแสดงให้เห็นสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนในชาติที่สืบทอดกันมายาวนานจนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ...”

พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเนื่องในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน ในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษเรื่อง การช่างศิลป์ไทย พ.ศ.2536


คนไทยกับงานช่างศิลป์
เมื่อพูดถึงศิลปกรรมกับผู้สร้างสรรค์แล้ว ในปัจจุบันเราอาจนึกถึง งานศิลปะกับศิลปิน แต่ในสมัยก่อนเรายังไม่มีศัพท์เรียกเช่นนี้ คนสมัยก่อนเข้าใจงานประเภทนี้ว่าเป็นงานช่าง และภูมิปัญญาสร้างสรรค์งานศิลปะของ ช่างไทย ในสมัยก่อนก็เป็นที่ประจักษ์ถึงคุณค่าและความงามแห่งศิลปกรรมดังปรากฏหลักฐานให้เห็นอยู่ในพิพิธภัณฑ์ และโบราณสถานต่าง ๆ มากมาย

นิยามความหมายของ ช่างศิลป์ไทย
ความหมายตามที่กรมศิลปากรได้นิยามไว้กว้าง ๆ คือ
“งานหรือสิ่งที่ทำโดยผู้ชำนาญในการฝีมือ หรือศิลปที่หมายถึงฝีมือ ฝีมือทางการช่าง มีการแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็นและรวมทั้งสิ่งที่จำกัดเฉพาะวิจิตรศิลป์ด้วย เป็นงานหรือสิ่งที่ทำโดยผู้ชำนาญในการฝีมือที่เป็นคนไทย ทำในประเทศไทย”
งานช่างศิลป์ เป็นงานที่อาศัยสติปัญญา และฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก จึงจะเกิดผลงานอันวิจิตรและอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น ... ซึ่งคนไทยด้วยกันอาจเห็นจนเจนตา แต่ผลงานของช่างศิลป์ไทยในสายตาของชาวต่างชาติเป็นที่ยอมรับถึงคุณค่าแห่งความงามในเชิงศิลปะอย่างแท้จริง
ศิลปะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กับมนุษย์มาช้านานแล้วนับแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน มีพัฒนาการในทางศิลปะมาโดยลำดับ
หมวดของงานช่างศิลป์ อาจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มงานใหญ่ ๆ คือ
1. งานช่างสิบหมู่หรืองานช่างหลวง เรียกรวมว่างานหัตถศิลป์
2. งานช่างพื้นบ้าน หรือศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน เรียกรวมว่างานหัตถกรรม

ช่างสิบหมู่
ที่มาของชื่อนี้บางกระแสว่า “สิบ”มาจาก “สิปปะ” ในภาษาบาลีซึ่งหมายถึงศิลปะ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวถึงความหมายของช่างสิบหมู่ไว้ตอนหนึ่งว่า “ช่างสิบหมู่เป็นแต่ชื่อกรมที่รวบรวมช่างไว้ มีสิบหมู่ด้วยกัน ไม่ใช่ช่างในบ้านเมืองมีแต่สิบอย่างเท่านั้น”
งานช่างสิบหมู่มีการแบ่งหมวดหมู่ไว้สิบหมวดซึ่งต่างกันไปในแต่ละสมัย โดยจะยกงานช่างสิบหมู่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ (ร.1-ร.7) ที่ได้แยกหมวดการทำงานช่างไว้สิบหมวดดังนี้คือ
1. ช่างเขียน 2. ช่างแกะ 3. ช่างสลัก 4. ช่างปั้น 5. ช่างหุ่น
6. ช่างหล่อ 7. ช่างปูน 8. ช่างรัก 9. ช่างบุ 10. ช่างกลึง


ช่างเขียน
เป็นแม่บทของกระบวนงานช่างทั้งหลาย เนื่องจากช่างทุกประเภทที่ทำงานได้ ต้องมีการร่างแบบนำทางก่อนทั้งสิ้น ในสมัยก่อนเรียกว่า “กะแผน วาดแบบ ให้แบบ” ซึ่งช่างเขียนจะต้องฝึกวาดให้ได้ทั้งลายและภาพ ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มคือ “กนก นารี กระบี่ คชะ”
กนก เป็นจำพวกลายต่าง ๆ เช่น กนกแม่ลายต่าง ๆ ต้องรู้การ ออกลาย การผูกลาย
นารี เป็นจำพวกลายมนุษย์ เทวดา นารี ที่สำคัญคงเป็นภาพพระ นาง
กระบี่ เป็นจำพวกอมนุษย์ ทั้งยักษ์ ลิง อสูร ต่าง ๆ
คชะ เป็นจำพวกสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์หิมพานต์
ที่สำคัญของงานหมวดนี้คือ จิตรกรรมฝาผนัง ที่มีทั้งส่วนที่เป็นลายรดน้ำปิดทอง และเขียนสี ซึ่งสีไทยที่สำคัญมีห้าสีคือ สีแดง เหลือง คราม ขาว และดำ ซึ่งสมารถนำมาผสมกันได้อีกหลายสิบสี
ความรู้และความเข้าใจเรื่องสีเป็นสิ่งสำคัญมาก หากสังเกตุให้ดีจะเห็นได้ว่าคุณลักษณะของการให้สีแบบช่างโบราณจะแตกต่างจากลักษณะของงานศิลปกรรมในปัจจุบัน หากมีการซ่อมสงวนที่ไม่เข้าใจเรื่องสีก็อาจทำให้คุณลักษณะอารมณ์ของภาพที่เคยมีเปลี่ยนแปลงไป คือมีสีสันฉูดฉาดกลายเป็นสีโปสเตอร์ ซึ่งผิดจากลักษณะของจิตรกรรมไทยที่จะมีโทนสีของภาพโดยรวมกลมกลืนกัน แล้วเน้นเฉพาะตัวพระนาง หรือจุดที่สำคัญเท่านั้น มิได้แข่งกันแสดงความสำคัญไปเสียทุก ๆ จุด

ช่างแกะ
เป็นการทำงานของช่างแกะรูปลายทั้งไม้ โลหะ และหิน ซึ่งวิธีการทำงานแกะวัสดุแต่ละชนิดจะมีการเขียนแม่ลายที่ต้องแกะเป็นพื้นอยู่ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับงานช่างแกะเป็นหลักก็คือสิ่ว แต่หากเป็นการโกลนรูปขนาดใหญ่ก็อาจใช้ขวานหรือผึ่งขึ้นโกลนลายเสียก่อน แต่สิ่งสำคัญของการแกะลายคือทรงทั้งหมดที่ต้องทำให้ได้โกลนที่ถูกส่วนก่อน หากทำไม่ได้ส่วน แม้จะแกะลายละเอียดยิบเพียงใดก็ไม่งามตานัก
งานแกะที่เราคุ้นตากันส่วนมากเป็นงานไม้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมพวกหน้าบัน บานประตู หน้าต่าง ส่วนงานโลหะนั้นมักเป็นเครื่องประดับหรือของใช้ที่มีการทำลวดลายประดับที่ช่วยขับให้เกิดความแวววาว เช่น กำไล แหวน เครื่องถม หรือเครื่องคร่ำ และสำหรับงานแกะหินนั้นมักเรียกกันว่างานจำหลักหิน นอกนั้นอาจมีงานแกะสลักงาช้าง หรือวัสดุอื่น ๆ อีกบ้าง แต่จะไม่มากเท่าวัสดุทั้งสามอย่างข้างต้น

ช่างสลัก
ช่างสลักในสมัยก่อนแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ช่างสลักกระดาษ และช่างสลักของอ่อน ที่เรียกกันว่าเครื่องสดเช่นการแทงหยวก การแกะสลักผักและผลไม้ การสลักหรือ “ฉลัก” กระดาษ คือฉลุกระดาษให้โปร่งด้วยการใช้สิ่วตอกลาย ลักษณะอาคารที่ใช้งานสลักกระดาษจะเป็นอาคารชั่วคราว เช่น เมรุ พลับพลา เป็นต้น ลักษณะงานตกแต่งลายฉลุปิดทองในอาคารทางศาสนา ก็ใช้เทคนิควิธีการฉลุกระดาษทำลายลงรักปิดทอง และงานหนังใหญ่ก็เป็นงานประเภทช่างสลักด้วยเช่นกัน

ช่างปั้น
งานช่างปั้นที่แท้คืองานปั้นปูน โดยเฉพาะการปั้นพระพุทธรูป งานปั้นดินอาจมีการผสมกระดาษฟางหมักน้ำ เพื่อให้มีเนื้อดินมีความเหนียว ปั้นได้ง่ายมากขึ้น ช่างปั้น ช่างหุ่น และช่างหล่อ จะมีความเกี่ยวข้องกันเนื่องเพราะลักษณะงานที่สัมพัน์กัน บางที ช่างทั้งสามแขนงอาจทำด้วยคนคนเดียวกัน เช่นการทำพระพุทธรูปก็ย่อมต้องมีการปั้นหุ่นพระพุทธรูปต้นแบบขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะนำไปเป็นต้นแบบหล่อต่อไป ทั้งนี้นอกจากการปั้นดินแล้ว ก็มีการใช้วัสดุอื่นได้ด้วย เช่น ขี้ผึ้ง เป็นต้น

ช่างหุ่น
คำว่า “หุ่น” นี้หมายถึง “ตัว หรือรูปร่าง” สิ่งที่จะทำเป็นหุ่นจึงเป็น คน หรือสัตว์ วัสดุที่ใช้คงเป็นพวก ไม้เนื้ออ่อน หรือกระดาษเท่านั้น อาจมีไม้จริงประกอบบ้างเล็กน้อย งานหุ่นจึงเป็นงานที่ไม่ใคร่จะมีความคงทนถาวรนัก เช่น “หุ่นกระบอก” ช่างหุ่นนี้อาจรวมไปถึง ช่างทำหัวโขนด้วย เพราะมีวิธีการผลิตงานแบบเดียวกัน การทำหุ่นนี้สำคัญอยู่ที่การทำโครง เรียกว่า “การผูกโครง” ซึ่งมักทำด้วยไม้ไผ่ รูปร่างหุ่นจะออกมางามหรือไม่ก็อยู่ที่การผูกโครงนี้เอง การทำหุ่นนี้ปัจจุบันเราอาจนึกถึงแต่เฉพาะหุ่นกระบอก เป็นตัว ๆ แต่จริง ๆ แล้วการทำหุ่นก็สามารถทำเป็นสิ่งของได้ เช่นการทำโคม ก็อาจทำหุ่นโคมเป็นรูปต่าง ๆ

ช่างหล่อ
คือช่างหล่อโลหะ การหล่อโลหะเป็นงานที่ทำมาช้านานแล้ว ดังปรากฏหลักฐานเป็นกลองมโหระทึก พระพุทธรูป กระถางธูป เชิงเทียน กระโถน เป็นต้น แต่งานหล่อที่สำคัญที่สุดก็คืองานหล่อพระพุทธรูป และการหล่อโลหะโดยปกติก็ใช้วิธีการที่เรียกกันว่า “ไล่ขี้ผึ้ง” เป็นวิธีของช่างที่ทำให้ขี้ผึ้งซึ่งปั้นเป็นหุ่นละลายออกจนเกิดที่ว่างในพิมพ์ แล้วเททองที่หลอมละลายดีแล้วเข้าแทนที่ ก็จะได้รูปหล่อโลหะทองสัมฤทธิ์ที่มีแบบและลักษณะเช่นเดียวกับหุ่นขี้ผึ้ง แต่ในกระบวนการในการทำนั้นมีหลายขั้นตอนช่างหล่อที่มีความสามารถจัดวางหน้าที่ช่างในแต่ละฝ่ายตามความถนัด เช่น ช่างสุมทอง ช่างเททอง ช่างแต่งพระ และต้องกำหนดสัดส่วนให้เหมาะสมตามขนาดของงานด้วย

ช่างปูน
ลักษณะงานมีความหลากหลายตั้งแต่งานซ่อม งานสร้าง งานที่ไม่ต้องใช้วามประณีตมากเช่นงานก่อปูนสอในการประสานอิฐให้เรียงต่อกัน จนถึงงานปูนปั้นที่ต้องทำอย่างประณีต และต้องเป็นช่างที่มีความชำนาญถึงขีดศิลปเพราะเมื่อนำปูนเข้าปั้นแล้วยากแก่การเอาออก และเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยรูปแบบงานแบบพระราชนิยมส่งผลให้รูปแบบงานมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในรูปแบบการก่อหน้าบันและตกแต่งจั่วแทนช่อฟ้าหางหงส์ และรูปแบบวิธีในการปั้นที่ใช้วิธี “ กระแหนะปูน” โดยการปั้นปูนเข้ากับแผ่นไม้ทำเป็นลวดลายดอกไม้เลื้อยเกี่ยวพันกันอย่างงดงามอย่างที่วัดราชโอรสสาราม และวัดเขมาภิรตาราม

ช่างรัก
ในงานศิลปะไทยมักมีช่างรักแทรกอยู่ในหลายกระบวนการจึงถือว่างานลงรักปิดทองเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่แสดงความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ การลงรักในสิ่งของต่างๆก็เพื่อรักษาคุณสมบัติของสิ่งของเหล่านั้นให้คงทนถาวรมากขึ้น ในการเอารักมาใช้สามารถจำแนกได้เป็นประเภทต่างๆดังนี้
รักรองพื้น ยางรักที่ผ่านการกรองแล้วใช้แปรงทาลงพื้นเพื่อให้จับผื้นแน่นเป็นครั้งแรก
รักสมุก การผสมรักกับถ่านใบตองหรือถ่านหญ้าคาโดยบดเนื้อรักกับส่วนผสมให้ละเอียดจนพอปั้นได้
รักน้ำเกลี้ยง เป็นรักแบบแห้งเร็วทาทับบนรักสมุกที่ขัดเรียบเกลี้ยงทำให้พื้นรักดูเป็นเงางามมากขึ้น

ช่างบุ
“บุ ”หมายถึงการตีแผ่ให้แบนออกเป็นรูปต่างๆ ช่างบุจึงต้องอาศัยความชำนาญในการตีโลหะให้ขึ้นรูปเป็นภาชนะต่างๆหากเป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีตมากขึ้น เช่นบรรดาเครื่องราชูปโภค เครื่องประดับต่างๆก็มักต้องมีช่างบุแทรกอยู่ตามส่วนต่างๆของงานด้วย นอกจากนี้ช่างบุต้องมีความชำนาญในการผสมโลหะต่างๆ เช่นในการบุเงินนั้นต้องมีการใส่ส่วนผสมของทองแดงเพื่อให้เนื้อเหนียวขึ้น รวมถึงกรรมวิธีในการตีบุแผ่นโลหะให้กระจายออกอย่างสม่ำเสมอ

ช่างกลึง
การกลึงจำต้องอาศัยแบบที่บอกขนาดไว้เรียบร้อยแล้ว โดยการการกลึงต้องมีการโกลนรูป หรือการขึ้นรูปทรงคร่าวๆ แต่ในการโกลนรูปแบบที่จะกลึงนั้นต้องคำนึงถึงศูนย์กลางโดยในการกลึงนั้นจะมีลักษณะอยู่ สองแบบด้วยกันคือ
- การกลึงที่เอาแต่รูปภายร่างภายนอก เช่นเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ เหรือเสาหัวกลมต่างๆตลอดจนตัวหมากรุก ด้ามมีดเป็นต้น
- การกลึงทั้งภายนอกและภายใน เช่นการกลึงตลับ กลึงโกส กลึงเชี่ยนหมาก
เมื่อกลึงสิ่งของแล้วช่างกลึงจะส่งต่อให้ช่างไม้ประกอบเข้ากับสิ่งของหรืออาคารสถานที่ต่างๆ แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของช่างกลุ่มต่างๆต่อไปในการตกแต่งและทำให้งานสมบูรณ์

งานศิลปหัตถกรรมไทยในปัจจุบัน
งานช่างศิลป์ไทย ไม่ว่าจะเป็นงานหัตถศิลป์ หรือหัตถกรรม ล้วนทำขึ้นโดยอาศัยทักษะ เทคนิค ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอันมีค่า ควรแก่การยกย่องทั้งสิ้น นั่นย่อมปฏิเสธไม่ได้ถึงคุณค่าที่มีอยู่ในตัวงาน แม้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานเพียงใด คุณค่านั้นก็ยังคงอยู่ และอาจมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ศิลปะร่วมด้วย
และงานช่างศิลป์ในอดีต ก็ส่งผ่านมาถึงงานช่างศิลป์ในปัจจุบัน แม้ว่าการทำงานช่างศิลป์บางประเภทอาจมิได้ทำขึ้นเพื่อรับใช้ชนชั้นสูงดังเช่นเป็นมาในอดีตแล้ว แต่ก็สามารถประยุกต์ไปสู่การใช้สอยแบบใหม่ ๆ ในปัจจุบันได้ สิ่งซึ่งเป็นคุณค่าของงานช่างศิลป์ไทยประการหนึ่งซึ่งเด่นชัด คือเป็นงานที่ทำด้วยมือ ทั้งยังเป็นงานที่ปราณีต ต้องมีทักษะฝีมือผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้น มีรากฐานแห่งภูมิปัญญา ความคิด งานที่ทำขึ้นทุกชิ้นจึงมีจิตวิญญาณแห่งการสรรค์สร้างของช่าง หรือศิลปินประสมอยู่ด้วยทุกชิ้น ซึ่งนี่เองที่ทำให้งานช่างศิลป์ไทยเป็นงานที่มีเสน่ห์ และคุณค่าอย่างแท้จริง

ช่างเชี่ยวช่างชาญเป็นงานช่าง ช่วยสร้างช่วยสรรค์เป็นงานศิลป์
เป็นทิพย์เป็นไทยให้แผ่นดิน ไม่สุดไม่สิ้นสืบวิญญาณ
ช่างเชียน ช่างปั้น ช่างแกะ สลัก หล่อ กลึง หุ่น รัก บุ ปูน ประสาน
คือช่างสิบหมู่ผู้บันดาล สายธารเส้นทางแห่งช่างไทย

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ .. ประพันธ์

4 ความคิดเห็น:

  1. เป็นบทความที่น่าสนใจมาก

    ตอบลบ
  2. เนื้อหาดี แต่เห็นหลายๆเว็บมักจะลงนี้หาลักษณะเดียวกัน ที่ยังขาดคือความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือของช่างสิบหมู่ ช่างแกะใช้เครื่องมือรูปร่าง ลักษณะ อย่างไรในอดีตที่ใช้แกะสลัก เช่น ช่างใช้เครื่องมือแบบใหนในการแกะสลักองค์พระเล็กๆ หากมีภาพประกอบจะทำให้เห็นภาพมุมกว้างยิ่งขึ้น

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทำงานประเภทนี้อยู่ ทำบุสบก ธรรมมาส ฉลุลายทุกชนิด ยิ่งทำยิ่งท้อ แต่ก็ยังทำ สักวันคงจะมีคนสนใจเข้าใจงานแบบนี้


      ลบ
  3. น้อยคนที่จะเข้าถึงงานแบบนี้

    ตอบลบ